จะว่าไปไอ้การเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มักจะมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ และที่ผ่านมาในวงการอีสปอร์ตเราก็แทบจะเห็นการเปรียบเทียบระหว่างเกมในประเภทเดียวกัน หรือแม้แต่การตั้งคำถามว่า เกมประเภทใดแน่ที่ได้รับความนิยมมากกว่า ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลและรสนิยมส่วนตัว ซึ่งเราแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำอะไรแบบนี้เท่าไร
แต่สำหรับใครที่ทำมาหากินในวงการอีสปอร์ต เช่น นักลงทุน หรือผู้จัดการแข่งขันที่ต้องการทราบว่า “อีสปอร์ตใดกำลังฮิต อีสปอร์ตใดกำลังมา” Dafaesports เลยขอนำเสนอวิธีวัดระดับคลาสอีสปอร์ตในระดับโลก (Esports Games Tiers List) ประจำปี 2018 ของ Bitkraft บริษัทการลงทุนด้านอุตสาหกรรมการแข่งขันเกมมาฝาก
วิธีการวัดระดับคลาสของเกมอีสปอร์ตในระดับโลกของ Bitkraft จะตัดเกรดจาก “3 องค์ประกอบหลัก” ได้แก่
1.จำนวนเงินรางวัลต่ำสุดต่อปี
ระดับ 1: ต้องมีเงินรางวัลรวมกันไม่น้อยกว่า $5M
ระดับ 2: มีเงินรางวัลต่ำกว่า $5M แต่ไม่น้อยกว่า $1.5M
ระดับ 3: มีเงินรางวัลต่ำกว่า $1.5M แต่ไม่น้อยกว่า $500K
2.ปริมาณการรับชม/เดือน
ระดับ 1: 20 ล้าน ชม. ขึ้นไป
ระดับ 2: ต่ำกว่า 20 ล้าน ชม. แต่ไม่น้อยกว่า 2 ล้าน ชม.
ระดับ 3: ต่ำกว่า 2 ล้าน ชม. แต่ไม่น้อยกว่า 2 แสน ชม.
3.ฐานแฟนคลับในโซเชียลมีเดีย
ระดับ 1: 9 ล้านคนขึ้นไป
ระดับ 2: น้อยกว่า 9 ล้านคน แต่ไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน
ระดับ 3: น้อยกว่า 3 ล้านคน แต่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน
3 องค์ประกอบนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การวัดระดับทุกๆ ปี ตามอัตราการขยายตัวของตลาดอีสปอร์ต เช่น ปี 2017 ฐานแฟนผู้ติดตามอีสปอร์ตใน Tier 1 จะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 8 ล้านคน แต่เกณฑ์ดังกล่าวถูกเพิ่มเป็น 9 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ ในปี 2018 เป็นต้น
นอกจากนี้ เรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ หลายปีก่อน “จำนวนผู้เล่นล็อกอินเข้าเล่นเกมในแต่ละเดือน” ถูกใช้เป็นเกณฑ์หลักในการประเมินผล แต่ไม่กี่ปีต่อมาองค์ประกอบนี้ก็ถูกถอดออกไป เลยอาจตีความได้ว่า “จำนวนคนเล่นเกมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประสบความสำเร็จในฐานะอีสปอร์ตโดยตรง” เพราะคนเล่นอาจจะไม่ดูแข่ง แต่คนดูแข่งอาจจะไม่ได้เล่นเกมก็ได้
ทั้งนี้ การจะวัดว่าเกมไหนเด่นเกมไหนดัง โดยเจาะจงเฉพาะในประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเก็บข้อมูลจากพื้นที่นั้น เช่น อยากรู้ว่าประเทศไทย เกมอีสปอร์ตตัวไหนดัง ก็ต้องเก็บข้อมูลกลุ่มผู้ชมชาวไทยและเงินรางวัลในประเทศ แล้วคุณจะตกใจ เพราะถ้าจัดอันดับจากวิธีการของ Bitkraft เกม Tier 1 ในบ้านเราอาจไม่ใช่ Dota 2, LoL, CS:GO หรือแม้แต่ Overwatch ก็เป็นได้
